สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินจะเป็นอีกหนึ่งโรงไฟฟ้า ที่จะมีหน้าที่ในการผลิตไฟฟ้าให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ ทั้งนี้โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินจะผลิตไฟฟ้าด้วยการใช้ความร้อนจากการเผาไหม้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง และถ่านหินจะเป็นหนึ่งในเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เกิดจากการทับถมของซากพืชเป็นเวลานานหลายล้านปี ประกอบไปด้วยสารประกอบคาร์บอน ออกซิเจน และไฮโดรเจน เมื่อมีการเผาไหม้ถ่านหินแล้ว จะมีการปล่อยพลังงานความร้อนออกมา เพื่อนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้านั่นเอง โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ถือเป็นหนึ่งในข้อสงสัย และข้อกังวลของหลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้ ว่าโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ซึ่งต้องบอกเลยว่าการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งเชื้อเพลิง จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะการเผาไหม้ของถ่านหินจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน และมลพิษทางอากาศในปริมาณมาก และนอกจากนี้กระบวนการทำเหมืองถ่านหินยังก่อให้เกิดการกัดเซาะ การเสื่อมโทรมของดิน และมลพิษทางน้ำจากของเสียที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำเหมืองได้อีกด้วย ทั้งนี้การปล่อยมลพิษจากโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ยังสามารถนำไปสู่การก่อตัวของฝนกรดได้ ซึ่งฝนกรดนั้นจะมีประสิทธิภาพในการทำลายป่า ทะเลสาบ และลำธารได้เลยทีเดียว ซึ่งปกติแล้วฝนกรดจะเกิดจากซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของน้ำในอากาศ ก่อให้เกิดเป็นกรดซัลฟิวริก และกรดไนตริก เมื่อตกลงมาสู่พื้นดินแล้วจะเป็นฝนกรดได้ในที่สุด โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพหรือไม่ นอกจากโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมากแล้ว ทุกคนรู้หรือไม่ว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินยังส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราได้อีกด้วย เนื่องจากโรงไฟฟ้าถ่านหินจะปล่อยฝุ่นลออกงขนาดเล็ก ซึ่งจะสามารถแทรกซิมลึกเข้าไปในปอดของเราได้ ดังนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังก่อให้เกิดโรคหอบหืด และมะเร็งปอดได้อีกด้วย ทั้งนี้การรับสารพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหินยังสามารถทำให้เกิดโรคหัวใจ และปัญหาสุขภาพในด้านอื่น ๆ ได้อีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นโรงไฟฟ้าที่สร้างมลพิษเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว ซึ่งจะเห็นได้เลยว่าโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน จะเป็นโรงไฟฟ้าที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างง่ายดายมากที่สุด แต่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม […]

การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างฉลาด โดยใช้ให้น้อย และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการใช้ให้ยาวนาน และก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด รวมทั้งต้องมีการกระจายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเสื่อมโทรมมากขึ้น ดังนั้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงมีความหมายรวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้วย การอนุรักษ์ฯนั้น สามารถกระทำได้หลายวิธีทั้งทางตรงและทางอ้อม 1. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางตรง ซึ่งปฏิบัติได้ในระดับบุคคล องค์กรระดับประเทศ ที่สำคัญคือ – ใช้อย่างประหยัด คือใช้เท่าที่จำเป็น และเกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุด – การนำกลับมาใช้ซ้ำ สิ่งของบางอย่างสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ เพื่อลดปริมาณการใช้ทรัพยากรและการทำลานสิ่งแวดล้อม – การบูรณซ่อมแซม สิ่งของบางอย่างใช้แล้วอาจจะชำรุด ถ้ามีการซ่อมแซมก็จะสามารถช่วยยืดอายุได้อีก  – การบำบัดและฟื้นฟู  เป็นวิธีการที่จะช่วยลดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรด้วยการบำบัด เช่นการบำบัดน้ำเสียจากบ้านเรือ โรงงานอุตสาหกรรม ก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และฟื้นฟูเพื่อรื้อฟื้นธรรมชาติให้กลับสู่สภาพเดิม เช่นการปลูกป่าชายเลนเพื่อฟื้นฟูความสมดุลของป่าชายเลนให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็นต้น – การใช้สิ่งอื่นทดแทน เป็นวิธีการที่จะช่วยให้การใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง  – การเฝ้าระวังดูแลและป้องกัน เป็นวิธีดารที่จะไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย 2. .การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางอ้อม สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้ – การพัฒนาคุณภาพประชาชน โดยสนับสนุนการศึกษาด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องตามหลักวิชา ซึ่งสามารถทำได้ทุกระดับอายุ ทั้งในระบบโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่างๆ รวมถึงการผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม – […]

การถือกำเนิดของ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากมาย เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งข้อดีเหล่านี้จะมีอะไรบ้างเข้ามาทำความรู้จักกันเลยดีกว่า   1. ลดการปล่อยไอเสียที่เป็นอันตราย ต่อสิ่งแวดล้อม  นับตั้งแต่การเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อเกือบ 150 ปีที่แล้ว ส่งผลทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการปล่อยก๊าซสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เลวร้ายลงได้ ดังนั้นการถือกำเนิดเกิดขึ้นของ EVs จึงได้นำเสนอการลดการปล่อยไอเสียที่เป็นอันตราย และการผลิตแบตเตอรี่ EV ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการสร้างรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในอีกด้วย  2. ช่วยลดมลพิษทางอากาศ  นอกเหนือไปจากกระบวนการผลิตแล้ว EVs ยังช่วยลดมลพิษทางอากาศ ในขั้นตอนการเบรกได้ เพราะโดยทั่วไปแล้วในขณะที่เบรกรถยนต์ ICE และสร้างความเสียดทานกับถนนและก่อให้เกิดฝุ่นที่มาจากการเบรกเป็นอย่างมาก แต่ระบบเบรกแบบสร้างพลังงานทดแทนของ EV ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้การเบรกแบบมาตรฐานบ่อยครั้งเท่าที่ควร ผลที่ได้คือฝุ่นละอองจากเบรกลดลงการเบรกแบบสร้างพลังงานใหม่ และการทำงานด้วยแป้นเหยียบเดียวช่วยลดการเกิดฝุ่นขณะเบรกได้เป็นอย่างดี   3. ใช้ของเหลวที่เป็นอันตรายน้อยกว่า ของเหลวอัตโนมัติที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน เช่น…น้ำมันไม่ละลายในน้ำ ส่งผลทำให้น้ำมันในเครื่องซึ่งเป็นสารเคมีที่เป็นพิษสามารถทำร้ายผู้คนและสัตว์ป่าได้หากกำจัดอย่างไม่เหมาะสม และน้ำมันเครื่องสามารถทำให้โรงบำบัดน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียสกปรกได้หากเทลงท่อระบายน้ำ แต่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้านอกจากจะไม่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนแล้ว ก็ยังไม่ใช้สารป้องกันการแข็งตัวและน้ำมันเบรกที่มีโลหะหนักที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์ป่าในน้ำอีกด้วย  4. ขยะน้อยลง  การนำแบตเตอรี่ EV มาใช้งานใหม่ และนำมารีไซเคิลจะช่วยลดปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ที่ส่งผลต่อการผลิต EV ได้ ทุกวันนี้ ผู้ผลิตใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพื่อขับเคลื่อน EV […]